ไมก์ ไทสัน (Mike Tyson) นักมวยสากล แชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวท 3 สถาบัน

ไมก์ ไทสัน (Mike Tyson) นักมวยสากล แชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวท 3 สถาบัน

ไมก์ ไทสัน (Mike Tyson) ผู้ที่ผันตัวจากเด็กเกเรสู่นักมวยแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวทที่อายุน้อยที่สุดในโลก มีชื่อจริง ๆ ว่า ไมเคิล จีราร์ด ไทสัน (Michael Gerard Tyson) เกิดเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 1966 ในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยก่อนที่ไมก์ ไทสัน จะได้ก้าวมาเป็นนักมวยที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกคนหนึ่ง เขาก็มีภูมิหลังที่เลวร้ายมาก่อนคือ ไมก์ ไทสัน เป็นเด็กที่เกเรมาก ถึงขั้นก่ออาชญากรรมในละแวกบ้าน แต่เหมือนโชคชะตาเป็นใจให้ไมก์ ไทสัน ได้พบกับ คัส ดี’อมาโต (Cus D’Amato) ครูสอนมวยชาวอิตาลีที่เปลี่ยนเส้นทางชีวิตของ ไมก์ ไทสัน ไปตลอดกาล โดยการสอนวิชามวยสากลให้กับไมก์ ไทสัน จน ไมก์ ไทสันเติบโตทางอาชีพสายมวยขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ไมก์ ไทสัน รักครูสอนมวยคนนี้เหมือนพ่อแท้ ๆ ของเขาคนหนึ่งเลยทีเดียว

เส้นทางการเป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพของ ไมก์ ไทสัน (Mike Tyson)

จุดที่พีคที่สุดในชีวิตมวยของไมก์ ไทสัน คือในวันที่เขาอายุเพียง 20 ปี แต่ได้ต่อยชนะมาแล้ว 26 ครั้งและเป็นการชนะน็อคมากถึง 24 ครั้ง และได้เข้าร่วมในไฟต์ที่แจ้งเกิดให้กับไมก์ ไทสัน คือไฟต์ชิงแชมป์โลกที่เขาสู้กับเทรเวอร์ เบอร์บิค (Trevor Berbick) แชมป์โลกของสภามวยโลก (WBC) รุ่นเฮฟวีเวท โดยได้จัดขึ้นที่โรงแรมฮิลตัน ในลาสเวกัส รัฐเนวาดา ในวันที่ 22 พฤศจิกายน 1986 โดยที่เทรเวอร์ เบอร์บิกเพิ่งคว้าแชมป์โลกมาเพียง 8 เดือนก่อนหน้านั้นเท่านั้น ไมก์ ไทสัน สร้างปรากฏการณ์อย่างคาดไม่ถึงโดยการชนะทีเคโอเทรเวอร์ เบอร์บิก แค่เพียงในยกที่ 2 เท่านั้นในนาทีที่ 2.35 ซึ่งไมก์ ไทสัน ได้ต่อยเทรเวอร์ เบอร์บิก ล้มไปถึง 2 รอบในยกที่สอง และชนะได้ในที่สุด ไมก์ ไทสัน แจ้งเกิดเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวทที่อายุน้อยที่สุดในโลกทันทีในอายุเพียง20 ปี 4 เดือน 22 วัน เป็นสถิติโลกมาจนถึงทุกวันนี้

หลังจากนั้นไมก์ ไทสัน ก็ได้มาถึงจุดของการเป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวท 3 สถาบัน (WBA, WBC, IBF) ด้วยการชกป้องกันตำแหน่งหลายต่อหลายครั้ง

และก็เป็นอีกครั้งนึงที่ไมก์ ไทสัน สร้างปรากฎการณ์ที่คาดไม่ถึงให้กับวงการมวยอีกรอบในไฟต์ที่เขาขึ้นชกกับ ไมเคิล สปิงค์ส (Michael Spinks) เจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก 1976 รุ่นเฮฟวีเวทในวันที่ 27 มิถุนายน 1988 ที่แอตแลนติก ซิตี้ รัฐนิวเจอร์ซี่ย์ ซึ่งในวันที่ขึ้นชกไมก์ ไทสันและไมเคิล สปิงค์ส มีผลงานที่เหมือนกันคือยังไม่เคยชกแพ้ โดยที่ไมก์ ไทสันชกมา34 ไฟต์ ชนะทุกไฟต์ โดยชนะน็อก 30 ไฟต์ ส่วนไมเคิล สปิงค์สชกมา 31 ไฟต์ ชนะทุกไฟต์ โดยชนะน็อก 21 ไฟต์ ซึ่งทุกคนต่างคิดว่าไฟต์นี้เป็นการพาไมก์ ไทสัน มารับความพ่ายแพ้แท้ ๆ แต่ไมก์ ไทสัน กลับทำให้เกมพลิกด้วยการชนะน็อกไมเคิล สปิงค์ส ในเวลาเพียง 91 วินาทีในยกแรกเท่านั้น

แต่ชีวิตมีขึ้นก็อาจจะลงได้เหมือนกัน เมื่อไมก์ ไทสัน มีชีวิตที่พัวพันกับคดีความอาชญากรรมและยาเสพติดในหลายปีต่อมา และได้ขึ้นชกกับเควิน แม็คไบรด์ นักชกชาวไอร์แลนด์ ในวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2005 และได้แพ้น็อกในยกที่ 6 ปิดตำนานแชมป์โลกเจ้าของฉายา “มฤตยูดำ” หลังจากนั้นไมก์ ไทสัน ก็ไม่ได้ขึ้นชกมาเป็นเวลาหลายปี

สถิติการขึ้นชกในระดับมืออาชีพ

หลังจากไฟต์ที่ไมก์ ไทสัน ขึ้นชกกับเควิน แม็คไบรด์ เขามีสถิติการขึ้นชกทั้งหมด 58 ไฟต์ โดยชนะทั้งหมด 50 ไฟต์ เป็นการชนะน็อก 44 ไฟต์ แพ้ 6 ไฟต์ โดย 2 ไฟต์ที่เหลือไม่ได้นับผลการชก

ไมก์ ไทสันถือว่ามีขนาดร่างกายที่เล็กมากสำหรับรุ่นเฮฟวี่เวท แต่เขามีลักษณะการต่อสู้โดยการโยกหัวเข้าหาคู่ต่อสู้อย่างว่องไว และมีพลังการออกหมัดที่หนักมาก สมกับที่เขาได้ฉายาว่า “มฤตยูดำ” หรือ “ไอ้หัวบาก” ส่วนในภาษาอังกฤษเขามีฉายาว่า “Iron”

 

 

ไฮโลไทย

Artur Beterbiev อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ นักมวยอัจฉริยะคว้าแชมป์สองรุ่น

Artur Beterbiev อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ นักมวยอัจฉริยะคว้าแชมป์สองรุ่น

      Artur Beterbiev อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ หนุ่มชาวรัสเซียที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับชาวแขก การเดินอยู่บนเส้นทางชกมวยของเขานั้นไม่ได้สวยสดงดงามหรือเส้นทางเรียบหรูโรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อย่างใด แต่เป็นเส้นทางการเดินทางมาด้วยลำแข้งลำขาของตนเอง สำหรับบนเส้นทางมวยสากลในปัจจุบันนี้เขามีดีกรีเป็นถึงแชมป์โลกถึง 2 แชมป์นั่นคือ แชมป์โลกอันดับแรกคือ แชมป์โลกสหพันธ์มวยนานาชาติ หรือที่เรารู้จักกันในชื่อของ IBF และอีก 1 แชมป์ที่เขาคว้ามาได้ก็คือ WBA ปัจจุบันนี้หาคู่ชก 1 รุ่นของเขานั้นค่อนข้างยากกันเลยทีเดียว

เส้นทางนักมวยอัจฉริยะ Artur Beterbiev อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ

      สำหรับประวัติการชกมวยของ Artur Beterbiev อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ เดินอยู่บนเส้นทางของ นักมวยสากล และบนเส้นทางนี้ถือว่าประวัติของเขานั้นไม่ธรรมดาเอาซะเลย สำหรับการขึ้นชกมวยของเขาแต่ละครั้งนั้น การชนะของเขาจะชนะในรูปแบบของชนะน็อกทั้งหมด ประวัติการขึ้นชกมวยสากลของเขา ทั้งหมด 15 ครั้งเขาชนะน็อกทุกครั้งทั้งหมด 15 ครั้ง จนกลายเป็นนักชกมวยที่มีประวัติชนะน็อกนานต่อเนื่องเป็นอันดับ 1 ของโลกขึ้นในทันที เส้นทางนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเส้นทางที่ยาวนานสำหรับเขาไปอีกไม่น้อยด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าในปี 2020 เขาจะประสบปัญหาในเรื่องของการติดเชื้อโควิด แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้กระทบกระเทือนกับตัวเขามากสักเท่าไหร่ หลายคนมีอาการเป็นห่วงว่าเชื้อโควิดนั่นอาจจะไปทำลายระบบอวัยวะภายในของเขา ทำให้เส้นทางการชกมวยของเขานั้น จบสิ้นลงตรงนี้กันหรือไม่ เราก็ต้องติดตามกันหลังจากที่ดูสถานการณ์ covid ติดตามดูผลงานของเขาหลังจากนี้ว่า บนเส้นทางอาชีพ นักมวยสากล ของเขาจะได้ไปต่อหรือว่าเขาจะหยุดสถิติของเขาไว้เพียงแค่เท่านี้ เรื่องฝีไม้ลายมือคงไม่ใช่ปัญหาสำหรับตัวเขาอย่างแน่นอน แต่เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บหรือเรื่องของโควิดที่จะทำให้ร่างกายของเขากลับมาไม่เหมือนเดิมก็เป็นไปได้

ประวัตินักมวยอัจฉริยะ Artur Beterbiev อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ

      สำหรับประวัติส่วนตัวโดยสังเขปของ Artur Beterbiev อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ เขาเกิดเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2528 หรือ คริสตศักราช 1985 โดยในปัจจุบันนี้เขาน้ำหนักประมาณ 81 กิโลกรัม พร้อมกับส่วนสูงที่เหมาะสมกับตัวเขาเป็นอย่างมากนั่นคือ 182 เซนติเมตร หรือประมาณ 6 ฟุต 1 นิ้ว สำหรับร่างกายขนาดนี้อาชีพ นักมวยสากล ถือได้ว่าหาตัวจับได้ยากไม่น้อยด้วยเช่นกัน ถ้าดูโดยรวมอายุของเขาในปัจจุบัน อายุอยู่ที่ 36 ปี ดูไปแล้วเส้นทางนักมวยของเขาอาจจะเหลือเวลาอีกไม่กี่ปีเท่านั้น การเดินอยู่บนเส้นทางอาชีพนักมวย เรื่องของอายุนั้นถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะต้องใช้ร่างกายในการต่อสู้อยู่บนเวทีในระยะเวลาที่ยาวนาน เรื่องของระบบประสาทต่าง ๆ ก็อาจจะต้องระมัดระวังเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

      หลายคนที่เป็นแฟนมวยก็คงกำลังลุ้นว่า Artur Beterbiev อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ จะรักษาสถิติการชนะน็อกได้ไปอีกยาวนานสักเท่าไหร่ก็ต้องมาลุ้นกันว่าให้สถานการณ์ covid นั้นจบลงอย่างรวดเร็ว เราถึงจะได้เห็นการกลับมาของนักมวยครองแชมป์ถึง 2 สถาบันที่มีชื่อว่า อาเธอร์ เบเทอร์บิเยฟ กันอีกครั้ง

 

 

สมัครแทงบอล

“โจ ฟราเซียร์” นักชกสายลุยในตำนานแห่งอเมริกันสไตล์

“โจ ฟราเซียร์” นักชกสายลุยในตำนานแห่งอเมริกันสไตล์

นักชกสายลุยในตำนานของอเมริกันแท้ๆ อย่าง “โจ ฟราเซียร์” (Joe Frazier) นักชกรุ่นเฮฟวี่เวท ที่เคยเป็นหนึ่งในปรากฏการณ์เอาชนะมูฮัมหมัด อาลีได้เป็นคนแรก ถึงแม้จะเป็นเพื่อนรักกันมาก่อนก็ตาม แต่ฟราเซียร์ ไม่เคยอ่อนข้อให้กับอาลีแต่อย่างใด โดยนักชนในตำนานผู้นี้ยังเป็นนักชกมวยสากลรุ่นเฮฟวี่เวทเพียงคนเดียวที่สามารถคว้าเหรียญทองในการชกจากโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว เมื่อปีค.ศ.1964 อีกด้วย

โจ ฟราเซียร์ เกิดเมื่อวันที่ 12 มกราคม ปีค.ศ.1944 ที่บิวฟอร์ต เซาธ์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา พื้นฐานครอบครัวทำเกษตรกรรมและโตมาในฟาร์มของครอบครัวตนเอง เมื่อเริ่มโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นฟราเซียร์ก็มีความสนใจในเรื่องของการชกมวยเป็นอย่างมาก และได้เริ่มต้นจากการชกมวยสมัครเล่นจนสามารถคว้าแชมป์ระดับภูมิภาคได้หลายสมัย และเมื่อมีอายุ 20 ปี เขาได้รับคัดเลือกให้ติดทีมชาติสหรัฐฯ เพื่อไปแข่งกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียว และเป็นเพียงคนเดียวที่คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ และในปีต่อมาเขาได้หันเหเข้าสู่วงการนักมวยอาชีพอย่างเต็มตัวในฐานะนักมวยสากล ในปีค.ศ.1970 หรือหลังจากโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวเพียง 6 ปี เขาก็สามารถครองเข็มขัดแชมป์โลกในรุ่นเฮฟวี่เวทจากสภามวยโลก และสมาคมมวยโลกได้จากการเอาชนะน็อคทีเคโอจากจิมมี่ เอลลิส ได้ในยกที่ 5 ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ณ กรุงนิวยอร์ก รวมไปถึงการเอาชนะคะแนนเมื่อครั้งขึ้นชกกับมูฮัมหมัด อาลีได้เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ปีค.ศ.1971 ถัดมาเพียงแค่ปีเพียงเท่านั้น ในช่วงนี้ถือเป็นช่วงเวลารุ่งโรจน์ในเส้นทางนักมวยของเขาไม่น้อย อย่างไรก็ตามเทพีแห่งชัยชนะไม่ได้อยู่กับเขาเสมอไป เพราะหลังจากนั้นเพียง 2ปี ในปีค.ศ.1973 เขาได้เสียเข็มขัดแชมป์โลกให้กับ จอร์จ โฟร์แมน โดยแพ้ทีเคโอในยกที่ 2 เมื่อวันที่ 22 มกราคมปีนั้น รวมไปถึงแพ้ให้กับ มูฮัมหมัด อาลี ติดต่อกัน 2 ครั้งในปีค.ศ.1974 และ 1975 ท้ายที่สุดในปีค.ศ.1981 เขาได้ประกาศแขวนนวมไปในที่สุด ฟราเซียร์นั้นได้รักษาสถิติการชกเรื่อยมา โดยสถิติการชกทั้งหมดจากการชกในระดับนักมวยอาชีพคือ ขึ้นชก 37 ครั้ง ชนะ 32 ครั้งเป็นการน็อกเอ้าท์ถึง 27 ครั้ง แพ้ 4 ครั้งและเสมอ 1 ครั้ง เมื่อนับแล้วเขาโลดแล่นอยู่ในวงการนักมวยมืออาชีพถึง 16 ปีทีเดียว

นักชกมวยอาชีพที่ดีที่สุดจากยุค 70 “โจ ฟราเซียร์”

อย่างไรก็ตาม โจ ฟราเซียร์ นั้นได้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับที่รุมเร้าเขามาเป็นเวลานาน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ.2011 โดยมีอายุ 67 ปี ถือเป็นการสูญเสียนักชกในตำนานผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในวงการนักมวยมืออาชีพ และแน่นอนว่าหลายคนยังคงจะจดจำเขาได้ในนามของนักชกแบบปอนด์ต่อปอนด์ มีสไตล์แน่หนัก มั่นคง และไม้ตายในตำนานอย่างหมัดฮุคซ้าย และผู้เอาชนะมูฮัมหมัด อาลีได้นั่นเอง

 

 

เว็บบอลออนไลน์

มูฮัมหมัด อาลีกับไมค์ไทสัน สุดยอดนักชก ระดับตำนาน กับหมัดอันทรงพลัง

    เมื่อกล่าวถึงวงการมวย แน่นอนว่าจะขาด อาลีกับไมค์ไทสัน ไปไม่ได้เพราะทั้งคู่ต่างก็เป็นนักมวยที่เก่งกาจ และโด่งดังมาก ๆ ในยุคหนึ่ง ซึ่งทั้งคู่ต่างก็เป็นเลือดนักสู้ชาวอเมริกัน โดยอาลีโด่งดังขั้นสุดในช่วงยุค 60 – 70 ส่วนไทสันก็พีกสุด ๆ ในช่วงยุค 80 – 90 และด้วยช่องว่างราว ๆ 10 ปี ทำให้ทั้งคู่ไม่ได้ดวนหมัดกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก เพราะเหล่าแฟนมวยทั้งหลายคงอยากเชียร์มวยคู่นี้สุด ๆ 

อาลีกับไมค์ไทสัน แม้ไม่เคยได้ขึ้นสังเวียนด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น

    ระหว่าง อาลีกับไมค์ไทสัน นั้นถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่เคยประชันฝีมือเพื่อตัดสินว่าใครเหนือกว่ากัน แต่อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ถือเป็นนักมวยในตำนาน ที่จะหาคนเทียบชั้นได้ยาก โดยอาลีนั้นเขาเริ่มหัดต่อยมวยจากการได้รับคำแนะนำจากตำรวจท่านหนึ่ง เพื่อไว้เป็นวิชาป้องกันตัวเอง แต่เนื่องจากอาลีมีพรสวรรค์ด้านการต่อยมวย บวกกับมีความขยันในการฝึกซ้อม ทำให้ฝีมือของเขาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว อาลีเริ่มขึ้นชกมวยครั้งแรก เมื่ออายุได้เพียงแค่ 12 ปี เท่านั้น

    จากนั้นต่อมา มูฮัมหมัด อาลี ก็เริ่มมีชื่อเสียงจากการคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในปี ค.ศ. 1960 และต่อด้วยการคว้าแชมป์โลก รุ่นเฮฟวี่เวท ในปี ค.ศ. 1964 และลโลแกนของเขาก็คือ ” พริ้วเหมือนผีเสื้อ แต่ต่อยเจ็บเหมือนผึ้ง ” ซึ่งอาลีขึ้นชกไปทั้งหมด 61 ครั้ง ชนะ 56 ครั้ง โดยที่ชนะน็อคไปถึง 37 ครั้ง และแพ้ไปแค่ 5 ครั้ง เท่านั้น

มูฮัมหมัด อาลี Muhammad Ali

    Muhammad Ali เป็นนักชกรุ่นเฮฟวีเวท ที่ได้รับการยกย่องว่า ” เป็นนักมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ” เพราะด้วยสไตล์การชกแบบ Out -boxer ที่มีความรวดเร็วและว่องไว อยู่ในระดับเดียวกับนักชกรุ่นไลต์เวท แต่พลังของหมัดอยู่ในระดับรุ่นเฮฟวีเวท ซึ่งไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้

มค์ ไทสัน Mike Tyson

    ด้าน ไมค์ ไทสัน นั้นเริ่มเข้าวงการมวยตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จากการชักจูงของ คัส ดี อมาโต เพราะเขาเห็นว่า ไทสันนั้นมักชอบมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อนเป็นประจำ เขาจึงสอนให้ ไทสันเรียนมวยแบบจริงจัง จนต่อมาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยไทสันเป็นนักมวยแชมป์โลกเฮฟวีเวท 3 สถาบัน คนแรกของโลก ที่ได้เป็นเจ้าของสถิติแชมป์โลกเฮฟวีเวท ที่มีอายุน้อยที่สุดในโลก ด้วยวัยเพียง 20 ปี

    สถิติในการชกของ Mike Tyson จากการชก 26 ครั้ง ชนะทั้ง 26 ครั้ง ชนะน็อคถึง 24 ครั้ง และเป็นการชนะน็อคในยกแรกถึง 12 ครั้งด้วยกัน ในเวลาต่อมา ไทสัน ได้ขึ้นแท่นเป็นนักมวยอันดับ 1 ของโลก หลังจากนั้นชีวิตของไทสัน ก็มาถึงจุดตกต่ำชองชีวิต เพราะเขาถูกกล่าวหาจาก นางงามอเมริกา เดสิรี วอชิงตัน เธอกล่าวหาว่าถูกไทสัน ข่มขืน แต่ไทสันก็ได้ออกมาปฏิเสธ จนคดีถูกนำไปขึ้นศาล และตัดสินให้ถูกจำคุกเป็นเวลา 6 ปี แต่ไทสันประพฤติตัวดี ทำให้ถูกปล่อยตัวมาภายในเวลา 3 ปี

    หลังจากออกมาจากเรือนจำ ไทสันก็ได้กลับมาชกมวยอีกครั้ง แต่ก็ต้องกลับเข้าไปรับโทษอีกครั้งในเรือนจำ ข้อหาชกต่อยกับเด็กวัยรุ่น ทำให้คิดคุกเป็นเวลา 9 เดือน หลังจากออกมาเขาก็ฟิตซ้อมและกลับไปต่อยมวยอีกครั้ง ต่อมาเขาถูกฟ้องร้องให้กลายเป็นบุคคลล้มละลาย 

นักมวยต่างยุค แต่ไม่ต่างความเก่งกาจ มีทั้งความฉลาด และไหวพริบ 

    อาลีกับไมค์ไทสัน ทั้งคู่ต่างก็เป็นนักมวยสากล มือหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้ ฝีมือก็สูสีอาจจะแตกต่างกันที่ชั้นเชิง ซึ่งไทสันอาจถือได้ว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ในเรื่องทางด้านรูปร่างกายภาพ ไทสันดูดีกว่าอาลี รวมทั้งในด้านของพลัง และความรวดเร็วว่องไวนั้นไทสันก็เหนือกว่า แต่สำหรับอาลีเขาเป็นนักสู้ที่ดูสมบูรณ์แบบมากกว่า เพราะเขามีวิธีการชกที่แน่วแน่มาก ทั้งสไตล์ สปิริต ความอึด ความเร็ว จิตใจ และจิตวิทยา 

    แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นที่ถกเถียงของแฟนมวยมาตลอดว่า ระหว่างอาลีกับไมค์ไทสัน หากชกกันใครจะชนะ แต่เมื่อไปถามเจ้าตัว ทั้งคู่กลับตอบว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ชนะแน่นอน เพราะทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน เนื่องจากมีผู้ดูแลคนเดียวกัน และในวันที่อาลีได้จากไปอย่างสงบ ในวัย 74 ปี ด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ และโรคพาร์คินสัน สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับ ไทสัน เป็นอย่างมาก เพราะตัวไทสันเอง ก็ได้ยึดอาลีเป็นไอดอลในการต่อยมวย และในเวลาต่อมา ไทสัน ก็ได้แขวนนวมและหันมาสู่วงการบันเทิง และการปลูกกัญชาขายแบบถูกกฎหมาย และเขายังคิดเสมอว่านักมวยคนเดียวที่เขาไม่สามารถจะเอาชนะได้เลยก็คือ อาลี เพียงคนเดียว

 

 

สมัครบาคาร่า888

“บิ๊กจอร์จ” จอร์จ โฟร์แมน (George Foreman)

จอร์จ โฟร์แมน หรือ จอร์จ เอ็ดเวิร์ด โฟร์แมน หรือที่หลาย ๆ คนเรียกกันว่า “บิ๊กจอร์จ” เกิดวันที่ 10 มกราคม ปีค.ศ.1949 เป็นนักชกของอเมริกันคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในวงการนักมวย เนื่องจากผู้ชมพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าจอร์จ โฟร์แมนนั้นมีการออกหมัดที่หนักหน่วงและมีความมั่นใจในหมัดของตนเองค่อนข้างสูง 

เส้นทางการเป็นนักมวยของจอร์จนั้นไม่ได้สวยหรูมากนักเนื่องจากช่างชีวิตในวัยเด็กเขาเป็นเด็กที่มีปัญหาพ่อแม่แยกทางกัน จอร์จจึงมีนิสัยที่เกเรลักขโมย ด้วยพฤติกรรมนี้เองทำให้จอร์จต้องลาออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 15 ปี เมื่ออายุได้ 16 ปีจอร์จได้ให้แม่พาไปฝากงาน Job Corps ในช่วงเวลานี้จอร์จได้ทำงานในอาชีพช่างไม้และช่างก่อสร้าง ก่อนที่จะได้รับความช่วยเหลือจากหัวหน้างานให้ย้ายมาอยู่แคลิฟอร์เนีย จอร์จชอบกีฬาอเมริกันฟุตบอลเป็นอย่างมากแต่เค้าชอบมวยสากลมากกว่าเลยตัดสินใจเลือกชกมวย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางการเป็นนักมวยสากล

ความสำเร็จในช่วงสมัครเล่น

-จอร์จชนะการชกเล่นครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 มกราคม 1967 โดยรอบแรกในการแข่งขัน Parks Diamond Belt Tournament จนเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2511 มีสถิติการชกมวยเล่น 16–4 ครั้งใน การแข่งขันกีฬาคู่เขาแข่งขัน Jonas ซึ่งสถิติการเล่นของมือสมัครคือ 22–4 เมื่อจอร์จข้ามเป็นอาชีพ

เส้นทางการชกมวยอาชีพของจอร์จ โฟร์แมน

-ในปี 1968 สามารถคว้าแชมป์โอลิมปิกที่แม็กซิโก

– ในปี 1969 จอร์จมีการชกทั้งหมด 13 ครั้งในปีนั้นชนะทั้งหมด (11 ครั้งโดยน็อกเอาต์)

-ในปี 1970 ได้ตำแหน่งรุ่นเฮฟวี่เวตอย่างไม่มีปัญหาโดยชนะทั้งหมด 12 ครั้ง ต่อสู้ที่เขาพ่ายแพ้คือ Gregorio Peralta ต่อเป็นอันดับที่ 7 ของโลกจากเดือนมีนาคม 1971

-ในปี 1971 ชนะการต่อสู้อีก 7 ครั้งโดยชนะทั้งหมดโดยการน็อก ซึ่งจอร์จแพ้น็อกเอาต์ในรอบที่ 10 และรอบสุดท้ายใน California ชนะ Leroy Caldwell จอร์จได้รับการจัดอันดับให้เป็นผู้ท้าชิงหนึ่งโดยสมาคมมวยโลก 

-ในปี 1972 ยังคงรักษาสถิติไร้จอร์จถูกให้ท้าทายโจเฟรเซียร์แชมป์โลกเฮฟวี่เวทที่ไร้พ่าย 

จนกระทั่งเส้นทางการชกมวยของจอร์จที่พ่ายแพ้ให้กับมูฮัมมัด อาลีในปี 1974 หลังจากนั้นอีก 6 ไฟต์ จอร์จได้ประกาศแขวนนวมในครั้งแรกในปี 1977 และกลับมาอีกครั้งในปี 1987 ในอายุ 38 จอร์จชนะอีก 4 ครั้งในปีนั้นค่อย ๆ ลดน้ำหนักลงและปรับปรุงสมรรถภาพของเขา จอร์จเก็บชัยชนะ 24 ไฟต์ ชนะน็อกถึง 22 ไฟต์ ก่อนจะได้ขึ้นชิงแชมป์โลก 3 ในปี 1988 จอร์จชนะ 9 ครั้ง จอร์จทำลายสถิติเป็นนักชกแชมป์โลกเฮฟวี่เวตที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ (45 ปี) ด้วยการเอาชนะ ไมเคิล มูเรอร์แบบน็อคเอาต์ในปี 1994 จากนั้นจอร์จก็ป้องกันแชมป์ได้อีก 4 ครั้งกลายเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในอาชีพ และครองสถิติแชมป์โลกอายุมากที่สุดในรุ่นเฮฟวี่เวทมาจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ไฟต์สุดท้ายของเขาเกิดขึ้นในปี 1997 จอร์จแพ้คะแนนแชนนอน บริกก์ ก่อนประกาศแขวนนวมในวัย 48 ปี

รวมเส้นทางการชกมวยของจอร์จ โฟร์แมนมากกว่า 28 ปี และสถิติไร้พ่ายติดต่อกันหลายนัด ทั้งนี้ซึ่งเจ้าตัวมีดีกรีเป็นเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ ปี 1968 และแชมป์มวยโลกรุ่นเฮฟวี่เวต 2 สมัย รวมสถิติการชกมวยสากล ชนะ 76 ครั้งโดยการชนะน็อกนั้นมีมากถึง 68 ครั้งและแพ้เพียง 5 ครั้ง

 

 

สล็อต วอเลทไม่มีขั้นต่ํา

Sugar Ray Robinson โคตรนักมวยผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุค40

ชูการ์ เรย์ โรบินสันนักมวยสากลมืออาชีพ ถือได้ว่าเป็นราชาของวงการมวยอเมริกาเลยก็ว่าได้ เขาเกิดวัน 3 พฤษภาคม พ.ศ 2464 เมืองเอลีย์ รัฐจอร์เจียในอเมริกา ชูการ์ เรย์ นั้นเป็นนักมวยที่ได้รับการแต่งตั้งจาก International Boxing ว่าให้เป็นโคตรนักมวยผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุค40 เลยก็ว่าได้ ตอนแรก ชูการ์ เรย์ โรบินสัน นั้นไม่ได้ใช้ชื่อนี้มาแต่ต้น แต่ชื่อจริง ๆ ของเขาตอนแรกคือ

วอลเกอร์ สมิธ จูเนียร์ เป็นคนผิวดำ ในวัยเด็กของ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน เขาเกิดในครอบครัวของชาวไร่เล็ก ๆ ในรัฐจอร์เจีย โดยเขาเป็นน้องคนสุดท้องจาก 3 คน และมี พี่สาวคนโต อีก 2 คน

ชูการ์ เรย์ โรบินสัน นั้นทำงานเป็นชาวไร่ตั้งแต่ อายุ 6 ขวบ และคอยช่วยงานดูแลโรงนาและไร่ข้าวโพดของพ่อเขา ต่อมา ดูเหมือนกิจการไร่ถั่วลิสงและข้าวโพดของพ่อเขาจะไปไม่รอด พ่อกับแม่เขาเลยต้องย้ายเขาไปอยู่ที่เมืองดีทรอยต์ซึ่งเขาจำเป็นต้องทำงานหนักมากตั้งแต่ 6โมงเช้าถึงเที่ยงคืนตลอด 6 วันต่อสัปดาห์ โดยที่เขาไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กปกติ

ต่อมาพ่อแม่เขาได้แยกทางกันและเขาก็ได้ตามแม่ไปอยู่ที่ นิวยอร์กและเป็นครั้งแรกที่ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน ได้เรียนหนังสือทำให้ความฝันเขาตอนแรก ๆ เขาแค่อยากจะเป็นหมอเพื่อหาเงินมาดูแลแม่ แต่หลังจากที่เขาได้ลาออกจาก โรงเรียนมัธยมเดอวิตต์คลินตันความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป และตอนนี้ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน หันเอาดีทางด้านชกมวยแทน พออายุเขา 15 ปี ชูก้าเรย์ โรบินสัน ได้ลงสมัครการแข่งนักชกหน้าใหม่อย่าง AAU แต่เนื่องจากอายุเขาไม่ถึงเขาเลยไปยืมบัตรของเพื่อนเขาที่ชื่อ เรย์ โรบินสันมา ทำให้เขาได้ขึ้นชกได้ในที่สุด ซึ่งต่อมาในขณะที่เขาชกต่อยในสังเวียนเถื่อนของเมืองวอเตอร์ทาวน์ก็ได้มีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งได้ทำการแซวเขาว่าเป็นพวกปากหวานเหมือนน้ำตาล (น้ำตาล=ชูการ์Sugar) และตอนนั้นเอง เขาจึงได้นำชื่อ ชูการ์ ไปไว้หน้าชื่อ เรย์โรบินสัน และดูเหมือนว่าเขาจะชอบมากและเข้าไปขึ้นชกในไฟต์นั้นจนชนะและได้รับรางวัลนวมทองคำพร้อมเป็นการประกาศชื่อ ชูการ์ โรบินสัน สู่สายตาชาวโลกในวัย 19 ปี

เส้นทางการเป็น นักมวยสากล ระดับมืออาชีพ ชูการ์ เรย์ โรบินสัน

เขาเป็นนักมวยที่ชกทรหดและชนะต่อเนื่อง ในศึกแรกบนเวทีสากล

โรบินสันทำการชกครั้งแรกที่ โจเอเควาร์เรีย ในวันที่ 4 ตุลาคม 2483 และชนะต่อเนื่องยาวมา

จนปี 2484 และก็ยังชนะเรื่อยมาจนกระทั่ง40ไฟต์ซ้อนแต่ในแมตที่ 41 เขาได้พ่ายแพ้ให้กลับ เจค ลามอนต้าแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ชายผู้นี้ใจถอดแม้จะแพ้ ลามอนต้า แต่พวกเขาก็ได้กลับมาเจอกันอีกในแมตที่ 55 ของ โรบินสันและเขาก็ได้เอาชนะลามอนต้าในแมตนั้นได้และก็ยังชนะต่อเนื่องเรื่อยมาจนกระทั่งเขาได้คว้าแชมป์เวลเตอร์เวท ในปี 2489 ด้วยสถิติ 75ไฟต์ 73-1-1 หลังจากนั้นชูการ์ก็ถูกทาบทามจากมาเฟียให้ล้มมวยแต่เขาก็ปฏิเสธไป

ในปี 2490 ในขณะชูการ์ขึ้นชกกับ จิมมี่ ดอล์ย ซึ่งเป็นการแข่งป้องกันแชมป์ครั้งแรก เขาก็ได้เกิดฝันร้ายก่อนจะขึ้นชก ซึ่งตัวเขาฝันว่าเขาเผลอพลั้งมือฆ่าจิมมี่ในการแข่งเขาเลยอยากจะขอที่จะไม่ขึ้นชกแต่คนใหญ่คนโตนั้นห้ามไว้ทำให้เขาต้องจำใจขึ้นชกและก็เผลอพลั้งมือฆ่า จิมมี่

เหมือนในฝันจริง ๆ ในปี 2495 โรบินสันได้เกษียณด้วยสถิติ 131-3-1-1 และเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงนักร้องและเต้นแรป 3 ปีต่อมาดูเหมือนว่าเขาจะไม่เหมาะกับการเป็นนักแสดงเลยรีรันเข้าสู่วงการมวยอีกรอบและก็ยังคงชกต่อเนื่องเรื่อยมาจนกระทั่ง ปี 2508

สถิติการขึ้นชนในระดับมืออาชีพ

สถิติการขึ้นชกของ นักมวยสากล ตัวพ่ออย่าง ชูการ์ เรย์ โรบินสัน นั้นถือว่าเป็นนักมวยที่แทบจะหาคนเทียบได้น้อยในสมัยนั้น ด้วยสถิติการขึ้นชก 200 ไฟต์

ชนะน็อค 109 ชนะ 64 ครั้ง แพ้น็อค 1 ครั้ง แพ้ 18 ครั้ง เสมออีก 6 ครั้ง ไม่ได้ลงแข่ง อีก 2 ครั้ง

ในช่วงชีวิตของเขาที่ก้าวเข้าสู่วงการ นักมวยสากล ในช่วงเวลา 25 ปีกับ 200 ไฟต์ทำให้เขาเป็นนักมวยที่ชกจำนวนไฟต์ชกต่อเนื่องเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้และมีฝรั่งหลายคน

เปรียบเทียบเขาให้มีฐานะเทียบเคียง นักมวยชื่อดังอย่าง ไมค์ ไทสัน และ มูฮัมหมัด อาลี เช่นกัน

เปิดประวัติ นักมวยสากล Floyd Mayweather Jr. ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

สำหรับ Floyd Mayweather Jr. ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ใคร ๆ ก็รู้จักเขาในนามของ “นักมวยสากลมืออาชีพ” ที่จัดว่าอยู่ในรุ่น เวลเตอร์เวท โดยที่เขาเองมีฉายาว่า “พริตตี้บอย (Pretty Boy) และ มันนี เมย์เวทเธอร์ (Money Mayweather)” ส่วนภูมิลำเนาบ้านเกิดของเขาอยู่ที่ แกรนด์ ราปิดส์ มิชิแกน ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลทำให้เขามีสัญชาติเป็นชาวอเมริกันอย่างเต็มตัว โดยที่เขาอยู่อาศัยกับลุงของเขาทั้ง 2 คน ซึ่งได้แก่ เจฟฟ์ เมย์เวทเธอร์ พร้อมทั้ง โรเจอร์ เมย์เวทเธอร์ นั่นเอง

เส้นทางการเป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพของ Floyd Mayweather Jr. ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

Floyd Mayweather Jr. ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ได้ก้าวเข้าสู่วงการนักมวยสากลระดับมืออาชีพด้วยการเป็นนักมวยระดับสมัครเล่น โดยที่เขาเองได้ประสบคความสำเร็จภายในบ้านเกิดของเขาเป็นอย่างมาก สามารถคว้าชัยได้มากถึง 48 ครั้งด้วยกัน ส่วนจำนวนการแพ้พ่ายมีแค่เพียง 6 ครั้งเท่านั้นเอง และในช่วงปี 1996 เขาได้คว้าแชมป์ระดับชาติที่มีชื่อว่า “โกลเด้น โกลฟส์” พร้อมทั้งได้รับฉายาใหม่ว่า “พริตตี้บอย

ในระยะเวลาต่อมา ปี 1996 เขาได้คว้าเหรียญทองแดงจากการแข่งขันมวยสากลในกลุ่มสมัครเล่นของกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ที่สหรัฐอเมริกา ภายในรุ่น เฟเธอร์เวท และในปีนี้เองภายในช่วงเดือน ตุลาคม เขาก็ได้ตัดสินใจเข้าชกมวยอาชีพเป็นครั้งแรก และยังคงสามารถควว้าแชมป์โลกมาครอบครองได้อีกด้วย

และเมื่อช่วงเวลามาถึงปี 2002 เขาได้ผลักดันตัวเองจนกระทั่งได้ชกภายในรุ่น ไลท์เวท และขยับไปในรุ่น จูเนียร์ เวลเตอร์เวทในช่วงปี 2004 จนกระทั่งในปี 2005 เขาก็ได้ขยับไปในรุ่น เวลเตอร์เวท และได้ขึ้นชกอย่างสมบูรณ์ จนกระทั่งในเดือนพฤษภาคม ปี 2007 เขาได้ประสบความสำเร็จอีกครั้ง สามารถชนะการแข่งขันรางวัลออสการ์ เดอ ลาโฮยา และในเดือนธันวาคม เขาได้กลับมาชกภายในรุ่นเวทเธอร์เวท จนสามารถชนะน็อกภายในยกที่ 10 โดยศึกครั้งนี้ถือเป็นศึกสุดท้าย ซึ่งเขาได้สละแชมป์พร้อมทั้งประกาศอย่างเป็นทางการว่าจะแขวนนวมจากนี้เป็นต้นไป

แต่แล้วในปี 2008 ฟลอยด์ได้กลับมาอีกครั้ง และได้ขึ้นชกกับ ฮวน มานูเอล มาร์เกซ ในวันเดือนกันยายน 2009 ซึ่งเขาก็สามารถเอาชนะได้อย่างเป็นเอกฉันท์ และในปี 2011 เขาสามารถคว้าแชมป์โลกในรุ่นเวลเตอร์เวทของสภามวยโลกได้อีกรอบ และมาในช่วงปี 2012 เขาได้ชิงเข็มขัดจาก มิเกล ค็อตโต มาได้

ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ปี 2015 เขาได้สู่ศึกซุปเปอร์ไฟท์และได้รับชัยชนะ ถือได้ว่าเป็นการทำลายสถิติชนะอย่างต่อเนื่องโดยรวมเป็นนัดที่ 48 ด้วยกัน

สถิติการขึ้นชกในระดับมืออาชีพ ของ Floyd Mayweather Jr. ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

  • ปี 2014 – ปัจจุบัน ชนะการแข่งขัน ดับเบิลยูบีเอ เวลเตอร์เวท
  • ปี 2012 – ปัจจุบัน ชนะการแข่งขัน ดับเบิลยูบีเอ เวลเตอร์เวท ซุปเปอร์
  • ปี 2007,2013 ชนะการแข่งขัน ดับเบิลยูบีซี รุ่น ซุปเปอร์ เวลเตอร์เวท
  • ปี 2006 – 2008 และ ปี 2011 – ปัจจุบัน ชนะ ดับเบิลยูบีซี เวลเตอร์เวท
  • ชนะการแข่งขัน ไอบีเอฟ เวลเตอร์เวท ปี 2006
  • ชนะการแข่งขัน ดับเบิลยูบีซี ซุปเปอร์ ไลท์เวท ปี 2005 – 2006
  • ชนะการแข่งขัน ดับเบิลยูบีซี ไลท์เวท ปี 2002 – 2004
  • ชนะการแข่งขัน ดับเบิลยูบีซี ซุปเปอร์ เฟเธอร์เวท ปี 1998 – 2002
  • ชนะการแข่งขัน ดับเบิลยูบีซี ไดมอนด์ ซุปเปอร์ เวลเตอร์เวท ปี 2012

อายุการต่อยมวยอาชีพ ของ Floyd Mayweather Jr. ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

การเดินทางภายในวงการนักมวยสากลระดับมืออาชีพของ Floyd Mayweather Jr. ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ถือได้ว่ายาวนานเป็นระยะเวลามากถึง 19 ปีเต็ม เขาสามารถทำรายได้จากการชกมวยทั้งหมดโดยรวมกว่า 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 24500 ล้านบาทด้วยกัน สมแล้วที่เขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นนักกีฬาที่สามารถสร้างรายได้ได้มากที่สุดของโลก และดูเหมือนว่าจะมากกว่านักกีฬาในระดับซุปเปอร์สตาร์ในสาขาอื่น ๆ อีกหลายคนเลยทีเดียว

 

 

pg slot ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

 

 

โอเล็กซานเดอร์ อูซีค (Oleksandr Usyk) นักมวยสากล เจ้าของแชมป์โลก 4 สถาบัน

โอเล็กซานเดอร์ อูซีค

โอเล็กซานเดอร์ อูซีค (Oleksandr Usyk) นักมวยสากล เจ้าของแชมป์โลก 4 สถาบัน

โอเล็กซานเดอร์ อูซีค
โอเล็กซานเดอร์ อูซีค

โอเล็กซานเดอร์ อูซีค (Oleksandr Usyk) เป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพชาวยูเครนวัย 33 ปี ส่วนสูง 191 ซม. ผู้เป็นเจ้าของแชมป์โลก 4 สถาบัน เกิดเมื่อวันที่ 17 มกราคม 1987 ที่เมือง Simferopol, Crimean Oblast ประเทศยูเครน

อูซีค ตอนอายุ 15 ปี เขาได้เริ่มเล่นฟุตบอลของสมาคมฟุตบอล และได้รับการฝึกฝนที่โรงเรียนกีฬาเฉพาะทางของ SC Tavriya Simferopol และ Olympic Reserve (สถาบันสโมสรฟุตบอล) หลังจากนั้นในปี 2002 เขาได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการมวย เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยของรัฐ Lviv

เส้นทางการเป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพของ (Oleksandr Usyk)

โอเล็กซานเดอร์ อูซีค เป็นนักมวยสากล เจ้าของแชมป์โลก 4 สถาบัน (WBA, WBC, WBO และ IBF) ถือเป็นนักชกชาวยูเครนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักมวยสากลที่เก่งที่สุด ในรุ่นครุยเซอร์เวท ของปี 2019

อูซีค ในฐานะนักมวยสากลมือสมัครเล่น เขาได้รับรางวัลเหรียญทองในการแข่งขันชิงแชมป์โลก 2011 และโอลิมปิก 2012 ในเฮฟวี่เวท เขากลายเป็นนักมวยสากลมืออาชีพในปี 2013 และได้รับรางวัลแชมป์ครุยเซอร์เวท ในปี 2018 ถึง 3 รายการ

Usyk ได้รับรางวัลในระหว่างการแข่งขัน World Boxing Super Series ครั้งแรก จากนิตยสาร The Ring และไลน์อัล ชื่อเรื่อง Cruiserweight และในปีเดียวกัน Oleksandr Usyk ได้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนักมวยแห่งปี 2018 โดย Sports Illustrated , ESPN , The Ring และสมาคมนักเขียนมวยแห่งอเมริกา

โอเล็กซานเดอร์ อูซีค เป็นนักมวยชายคนล่าสุดที่ได้ถือเข็มขัดของ WBA, WBC, IBF และ WBO เขายังเป็นนักมวยคนที่ 5 ในประวัติศาสตร์ ที่สามารถทำได้ หลังจาก Crawford, Jermain Taylor, Bernard Hopkins และ Cecilia Brækhus ที่เคยทำได้  เขาเป็นนักมวยสากลอาชีพ ที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษในเรื่องความเร็วในการคว้าแชมป์โลก

สถิติการขึ้นชกในระดับมืออาชีพ

โอเล็กซานเดอร์ อูซีค เป็นนักมวยสากล วัย 33 ปี ที่มีสถิติการขึ้นชกในระดับมืออาชีพที่น่าสนใจ ซึ่งเขาขึ้นชกทั้งหมด 17 ไฟต์ ชนะ 4 ครั้ง ชนะน็อก 13 ครั้ง และล่าสุดในเดือนสิงหาคม 2020 ที่ผ่านมาเขาได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักมวยที่เก่งที่สุดของโลก ในอันดับที่ 5 โดยคณะกรรมการการจัดอันดับมวยข้ามชาติ และนิตยสาร The Ring และอันดับที่ 6 โดย ESPN และสุดท้ายอันดับที่ 5 ของรุ่นเฮฟวี่เวท โดย BoxRec

ถือได้ว่า อูซีค เป็นนักมวยสากล ที่ติดอันดับนักมวยโลก ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องหน้าที่การงานหรือเรื่องครอบครัว เขาได้แต่งงานกับ Kateryna และได้สร้างครอบครัวที่อบอุ่นด้วยกัน โดยทั้งคู่มีลูกทั้งหมด 3 คน และตอนนี้พวกเขาก็อาศัยอยู่ที่ เคียฟ ประเทศยูเครน

เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์ (Errol Spence Jr.) นักมวยสากล แชมป์โลก 2 สถาบัน

เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์

เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์ (Errol Spence Jr.) นักมวยสากล แชมป์โลก 2 สถาบัน

เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์
เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์

เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์ (Errol Spence Jr.) เป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 1990 ณ เมืองลองไอส์แลนด์นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเขามีอายุ 30 ปี ส่วนสูง 177 ซม. เขาได้มีเชื้อสาย Jamaicans จากพ่อและได้เชื้อสายแอฟริกันอเมริกันทางแม่ของเขา

เมื่อวันที่ วันที่ 10 ตุลาคม 2019 เวลา 02:53 น. Spence ได้ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และได้รับบาดเจ็บสาหัส ถูกนำตัวเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล สาเหตุเกิดจากการขับรถด้วยความเร็วสูง เขาใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 6 วัน หลังจากออกมาเขาก็ถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาการขับขี่ในขณะที่เมาเหล้า (DWI) และในเวลาต่อมา เขาหลีกเลี่ยงการติดคุกและรับการคุมประพฤติแทน

Spence เขาเป็นแชมป์นักมวยแบบครบวงจร โดยครองตำแหน่ง IBF ตั้งแต่ปี 2017 และตำแหน่ง WBC ตั้งแต่ปี 2019 ในฐานะมือสมัครเล่น ในรุ่นเวลเตอร์เวทเขาได้รับรางวัล United สามสมัยติดต่อกัน และเป็นตัวแทนของสหรัฐอเมริกาในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2012 หลังจากนั้นเขาก็จบอาชีพนักมวยสมัครเล่นและหันมาเป็นนักมวยมืออาชีพ

เส้นทางการเป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพของ เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์ (Errol Spence Jr.)

สเปนซ์ ได้เปิดตัวเป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2012 ที่โรงแรมสปริงส์คาสิโนแฟนตาซี ในอินดิโอ ประเทศแคลิฟอร์เนีย โดยก่อนหน้าที่เขาจะมาเป็นนักมวยมืออาชีพ เขาได้เป็นนักมวยสากลมือสมัครเล่นมาก่อน หลังจากเขาแพ้ให้กับ Andrey Zamkovoy ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2012 เขาก็ได้เปลี่ยนมาชกมวยระดับมืออาชีพ

เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์ ได้ฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อให้ได้เป็นนักมวยระดับมืออาชีพที่เก่งที่สุด ในช่วงปี 2013 เขาขึ้นชกถึง 8 ครั้ง ได้รับชัยชนะทุกครั้ง และในช่วยท้ายของปี เขาก็ชนะการชกระดับมืออาชีพทั้งหมด 10 ครั้งโดย 8 ครั้งจากการชนะน็อก

ในปี 2019 Spence ได้เอาชนะคะแนน ชอว์น พอร์เตอร์ นักชกเพื่อนร่วมชาติ และสามารถคว้าแชมป์โลก รุ่นเวลเตอร์เวต ของ 2 สถาบัน อย่างสหพันธ์มวยนานาชาติ (IBF) และ สภามวยโลก (WBC) เอาไว้ได้

Errol Spence Jr. ได้ถูกจัดอันดับให้เป็น นักมวยที่เก่งที่สุดในโลก ซึ่งเขาถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 3 โดยเว็บไซต์ BoxRec และอันดับที่ 6 โดยนิตยสาร The Ring และอันดับที่ 9 โดยคณะกรรมการจัดอันดับมวยข้ามชาติ (TBRB)

สถิติการขึ้นชกในระดับมืออาชีพ

เออร์รอล สเปนซ์ จูเนียร์ เป็นนักมวยสากล วัย 30 ปี ที่มีสถิติการขึ้นชกในระดับมืออาชีพที่น่าสนใจ ซึ่งเขาขึ้นชกทั้งหมด 26 ไฟต์ ชนะ 5 ครั้ง ชนะน็อก 21 เขาเป็นอีกหนึ่งคนที่มีรายชื่อติดอยู่ในการจัดอันดับนักมวยโลก จากสำนักงานข่าวหลายสำนัก และจากสถิติการขึ้นชกมวยของเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขานั่นเป็น นักชกไร้พ่ายอย่างแท้จริง

ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า (Juan Francisco Estrada) อดีตแชมป์โลก

ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า

ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า (Juan Francisco Estrada) นักมวยสากล อดีตแชมป์โลก รุ่นฟลายเวต 2 สถาบัน

ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า
ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า

ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า (Juan Francisco Estrada) เป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพชาวเม็กซิกันวัย 30 ปี ส่วนสูง 163 ซม. เขาเป็นอดีตแชมป์โลก รุ่นฟลายเวต 2 สถาบัน อย่างองค์กรมวยโลก (WBO) และสมาคมมวยโลก (WBA) เกิดเมื่อวันที่ 14 เมษายน 1990 ที่ Puerto Penasco ประเทศเม็กซิโก เขาสูญเสียแม่ตอนอายุ 7 ขวบ จากนั้นเขาก็ต้องสูญเสียพ่ออีกคน ตอนเขาอายุ 14 ปีและหลักจากนั้นเขาก็ย้ายมาอยู่กับป้า

ด้วยความยากจนเป็นเหตุทำให้เขาต้องห่างจากคนในครอบครัวอีกครั้ง ตอนอายุ 15 ปี เขาถูกส่งไปอยู่อีกเมืองที่มีชื่อว่า เฮอร์โมซิลโล (Hermosillo) เพื่อไปฝึกซ้อมเป็นนักมวยอาชีพ

เส้นทางการเป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพของ ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า (Juan Francisco Estrada)

ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า เป็นนักมวยสากล ระดับมืออาชีพ ที่เริ่มต้นชกมวยเมื่ออายุ 9 ขวบ และเมื่ออายุ 15 ปี เขาได้เดินทางไปยัง เฮอร์โมซิลโล (Hermosillo) เพื่อมุ่งสู่การเป็นนักมวยอาชีพ เขาได้ขึ้นชกมวยสากลสมัครเล่นในฐานะตัวแทนของรัฐ ในการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับประเทศ 98 นัด ซึ่งเขาสามารถเอาชนะได้ถึง 94 ครั้ง ทำให้เขาสามารถคว้าแชมป์ระดับประเทศได้ถึง 4 สมัย จึงทำให้เขานั้นกลายเป็นนักมวยฉายแววดาวรุ่งและเป็นที่จับตามองนับแต่นั้น

เอสตราด้า ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในฐานะมักมวยอาชีพ เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2008 เมื่ออายุ 18 ปี เขาสามารถเอาชนะ เซอร์คิโอ ชาเวซ เพื่อนร่วมชาติได้ และคว้าเข็มขัดระดับภูมิภาคครั้งแรกได้  ในเดือนตุลาคม 2010 เอสตราด้า สามารถคว้าเข็มขัดแชมป์โลก เส้นแรกจากสภามวยโลก (WBC) มาครองได้สำเร็จ ด้วยการเอาชนะน็อก Manuel Armendariz

หากพูดถึงชัยชนะที่สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า (Juan Francisco Estrada) คงต้องยกให้แม็กซ์เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2013 ที่เขาดวลหมัดกับไบรอัน วิลเรีย อดีตแชมป์โลก รุ่นฟลายเวต ชาวอเมริกัน ที่โคไท อารีนา เดอะ เวเนเชี่ยน มาเก๊า ประเทศจีน ทำให้เขาสามารถคว้าเข็มขัดแชมป์โลกถึง 2 สถาบัน(WBO และ WBA) ได้สำเร็จในวัยเพียง 22 ปี

เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2018 เอสตราด้า ได้ชิงแชมป์โลกรุ่นซูเปอร์ฟลายเวตครั้งแรกในชีวิต แต่ก็ต้องพ่ายแพ้แบบไม่เป็นเอกฉันท์หลังต่อยครบ 12 ยกให้กับนักมวยสากลไทย อย่าง “เจ้าแหลม” ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น

เมื่อเดือนตุลาคม 2019 เอสตราด้า ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักมวยที่เก่งที่สุดของโลก ในอันดับที่ 7 โดยคณะกรรมการการจัดอันดับมวยข้ามชาติ (TBRB) และอันดับที่ 8 โดยนิตยสาร The Ring อีกทั้งเขายังได้รับการจัดอันดับนักมวยโลก ให้เป็นซูเปอร์ฟลายเวทที่ทำได้ดีที่สุดของโลก โดยBoxRec และ องค์กรจัดอันดับมวยข้ามชาติ (TBRB)

สถิติการขึ้นชกในระดับมืออาชีพ

ฮวน ฟรานซิสโก้ เอสตราด้า เป็นนักมวยสากล วัย 30 ปี ที่มีสถิติการขึ้นชกในระดับมืออาชีพที่น่าสนใจ ซึ่งเขาขึ้นชกทั้งหมด 43 ไฟต์ ชนะ 13 ครั้ง ชนะน็อก 27 ครั้ง และแพ้ 3 ครั้ง เขาเป็นนักมวยสากลระดับโลก หนุ่มอนาคตไกล ที่มากไปด้วยประสบการณ์และฝีมือการเล่นที่ไม่เหมือนใคร เขาเป็นนักสู้ที่ไม่เคยยอมแพ้ เขามักพูดอยู่เสมอว่า “พระเจ้ามีบททดสอบให้กับเราเสมอ”